การบริหารกาย 30 วินาทีในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ไขมันหน้าท้องลดลง เนื่องจากมีการเพิ่มปริมาณกิจกรรมมากขึ้น คนเราอ้วนขึ้นเพราะเคลื่อนไหวร่างกายน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณอาหารที่กินเข้าไป หากกินอาหารพอประมาณและเคลื่อนไหวร่างกายมาก ความอ้วนจะค่อย ๆ หายไป เพราะเมื่อเราทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น การใช้ปริมาณพลังงานทั้งหมดภายในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยดึงเอาไขมันส่วนเกินที่สะสมไว้มาเผาผลาญเป็นแหล่งพลังงานทำให้ไขมันหน้าท้องค่อย ๆ สลายไป ร่างกายจึงปรับสู่สภาพสมดุลเราต้องทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา การเผาผลาญอาหารจึงทำงานได้ราบรื่น ความอ้วนทำให้การเผาผลาญอาหารทำงานไม่ปกติเป็นผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หากการเผาผลาญอาหารราบรื่นร่างกายจะปรับเข้าหาความสมดุลโดยอัตโนมัติหากลองนำการบริหารกาย 30 วินาทีมาใช้ในชีวิตประจำวันเพียง1 เดือน จะพบว่าน้ำหนักลดลง 1 กิโลกรัม
ผลดีด้านการลดน้ำหนักเพื่อลดน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต้องทำให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 7,000 แคลอรีในเวลา 1 เดือน ซึ่งปริมาณแคลอรีเท่านี้ถูกใช้หมดไปเท่ากับการเดินเร็ววันละ 1 ชั่วโมงทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน ผู้เขียนได้พิสูจน์ด้วยการออกกำลังกายแบบนี้เป็นเวลา 6 เดือน ปรากฏว่าน้ำหนักลดไป 6 กิโลกรัมจริง ๆ หากไขมันในร่างกายลดลงเราจะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น ส่งผลให้มีสมาธิดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานก็พัฒนาขึ้นโดยอัตโนมัติ
หลัก 3 ประการของการบริหารกายในชีวิตประจำวัน
การบริหารกายขณะทำกิจวัตรประจำวันมีหลักพื้นฐาน 3 ประการคือ Simple, Easy, Best ซึ่งเป็นการบริหารกายที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก สะดวกเพลิดเพลิน และปฏิบัติได้ต่อเนื่องยาวนานที่ได้ผลดีที่สุด เพราะการออกกำลังกายที่กำหนดเวลาและสถานที่จำเพาะต้องใช้เวลาเดินทาง เครื่องแต่งกายก็แตกต่างจากปกติแถมท่วงท่ายังซับซ้อน จนทำให้รู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นภาระ จึงเป็นเรื่องยากที่จะออกกำลังกายให้ต่อเนื่องและปฏิบัติเป็นนิสัยหลักเกณฑ์การบริหารกายในชีวิตประจำวันมีดังนี้
หลักเกณฑ์ที่ 1: การบริหารกายต้องไม่ยุ่งยาก (Simple)
- เป็นท่าบริหารง่าย ๆ 5 ท่าที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ และใช้เวลาสั้น ๆ นั่นคือ ท่านอน ท่านั่งเก้าอี้ท่านั่งพื้น ท่ายืน และท่าเดิน ท่าบริหารหลายท่าก็ประยุกต์มาจากท่าพื้นฐานทั้ง 5 นี้
- เวลาในการบริหารกายจะต้องสั้น ท่าบริหารกายที่ปฏิบัติได้ทันทีเมื่อฉุกคิดได้ขณะทำกิจวัตรประจำวันในเวลา 30 วินาทีที่ทำให้ไม่เบื่อและปฏิบัติต่อเนื่องได้นาน เช่น การขมิบทวารหนัก เป็นท่าที่ใช้ปลุกความรู้สึกตัวสร้างความกระฉับกระเฉง และกระตุ้นสมรรถนะให้แก่อวัยวะภายใน
- ใช้เครื่องแต่งกายปกติที่ใส่อยู่ได้เลย หากต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬา รวมทั้งมีอุปกรณ์ต่างๆอาจรู้สึกยุ่งยาก จนพานเลื่อนการออกกำลังกายนั้นไป ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างท่าบริหารคอคือ หากรู้สึกเมื่อยคอขณะทำงาน ให้หมุนคอช้า ๆ ไปทางขวาและซ้ายสลับกัน หรือหมุนคอพร้อมกับแหงนหน้าไปทางซ้ายและขวา ทำสลับกันช้า ๆ นี่เป็นท่าที่ปฏิบัติได้เลยขณะทำงาน
หลักเกณฑ์ที่ 2: การบริหารกายต้องง่าย (Easy)
- เพื่อให้เจียดเวลามาบริหารกายได้ เพราะเวลาคือปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการออกกำลังกาย สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและเคร่งเครียดจริงจังมักคิดว่าการออกกำลังกายเป็นการสิ้นเปลืองเวลา การบริหารกาขณะทำกิจวัตรประจำวันจึงเหมาะกับพวกเขาอย่างแท้จริง เพราะทำได้เสมอโดยไม่มีปัจจัยเรื่องเวลามาขัดขวาง
- ต้องสะดวก อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ทุกที่ที่เราไปถือเป็นฟิตเนสทั้งสิ้นห้องน้ำก็เป็นฟิตเนสส่วนตัว ในรถไฟฟ้าก็เป็นฟิตเนสเคลื่อนที่ ห้องรับแขกก็เป็นฟิตเนสของครอบครัว บู๊ทขายของลดราคาในห้างก็เป็นฟิตเนสที่สนุกกับการจับจ่ายซื้อของ เป็นต้น การเลือกสถานที่ออกกำลังจึงขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นผู้ตัดสินใจ
- ทุกเพศทุกวัยต้องบริหารกายได้ เพราะเป็นการบริหารกายขณะทำกิจวัตรประจำวันที่ทุกคนทำได้เช่น ยืนด้วยปลายเท้า หายใจเข้าลึกๆขมิบทวารหนัก หมุนเอว บริหารคอ บริหารดวงตา เป็นต้น
หลักเกณฑ์ที่ 3: การบริหารกายต้องมีประโยชน์สูงสุด (Best)
- หลังจากลงมือบริหารกายในชีวิตประจำวัน ต้องทำให้สมรรถภาพของหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ร่างกายยืดหยุ่น ไม่เมื่อยล้าหนังสือเล่มนี้จะแนะนำการเคลื่อนไหวเพื่อบริหารกายมากกว่า 80 ท่าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ซึ่งนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน
- สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงทำให้ข้อต่อต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วอีกด้วย
- ต้องลดไขมันหน้าท้องอย่างได้ผล ท่าบริหารที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อซึ่งไม่ค่อยได้ใช้งาน เช่น กล้ามเนื้อสีข้าง เอว และท้อง มีความแข็งแรงขึ้นแต่ละกิจกรรมจะรวมท่าบริหารกายอย่างหนึ่งเข้าไปเพื่อให้มีการทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น ร่างกายจะได้เผาผลาญไขมันเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานเรื่อยๆ ส่งผลให้ไขมันหน้าท้องลดน้อยลง
เปลี่ยนแปลงเวลาเพื่อบริหารกาย
เวลาคือสิ่งสำคัญในการสร้างนิสัยการบริหารกายขณะทำกิจวัตรประจำวัน จากข้อมูลด้านชีววิทยาพบว่า หากต้องการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน จะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อปฏิบัติต่อเนื่องเป็นเวลา100 วัน หลังจาก 100 วันแล้ว ร่างกายจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ และสร้างสุขภาวะการออกกำลังกายจนติดเป็นนิสัย
ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน ต้องเข้ารับคำปรึกษาและอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ ในระยะเวลา 6 เดือน-1 ปีจะถูกควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย โดยใช้โปรแกรมที่ปรับให้สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ แม้การควบคุมอาหารจะทำให้ไขมันส่วนเกินลดลง แต่การเปลี่ยนนิสัยให้เคยชินกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องยากเพื่อสร้างนิสัยการออกกำลังกาย ผู้เขียนขอแนะนำวิธีสร้างบรรยากาศให้นึกถึงการออกกำลังบ่อยขึ้น ด้วยการนำปากกาเมจิกมาเขียนข้อความต่าง ๆลงบนกระดาษ (สีใด ขนาดใดก็ได้) ให้มองเห็นชัดเจน แล้วนำไปแปะไว้ในที่สะดุดตา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น